พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เข้าสู่ระบบ
หน้าแรก
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ค้นหาข้อมูล
เข้าสู่ระบบ
ล.พ.ผินะ วัดสนม...
ล.พ.ผินะ วัดสนมลาววรวิหารสมเด็จหลังขุนช้าง
ประวัติความเป็นมาของ
หลวงพ่อผินะ ปิยธโร
ชื่อ : ทวาย นามสกุล หาญสาริกิจ
บิดาชื่อ : เทศ
มารดาชื่อ : นางตุ้ย
เกิดเมื่อ : วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน
วันที่ ๑ มีนาคา พ.ศ. ๒๔๖๕
ที่บ้าน ดอนลำโพง หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองยายดา อำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานี
การศึกษา : ประถมปีที่ ๔ วุฒินักธรรมตรี
อาชีพ : รับราชการครู และทำงานการไฟฟ้า
บิดา มีอาชีพ : รับราชการทหาร ทำนา ค้าขาย
มารดา มีอาชีพ : ค้าขาย
บิดาและมารดา สมรสกันเมื่อ : พ.ศ. ๒๔๖๔
พี่น้องร่วมสายโลหิต :
๑. นายผินะ หาญสาริกิจ
๒. นายเสริมเกียรติ์ หาญสาริกิจ
๓. นางสาวสุรัตน์ หาญสาริกิจ
๔. นายสงวน หาญสาริกิจ
๕. นายสุนทร หาญสาริกิจ
เมื่อตอนเป็นเด็กชาย ทวาย หาญสาริกิจ มารดาบอกว่า " มีกรรม " ถ้าร้องไห้ทีไรเป็นต้องชักหน้าเขียวทุกครั้ง มารดาต้องอุ้มจึงจะหายชัก บิดาและมารดาหาที่รักษาอยู่ประมาณ ๓ ปี จึงได้มาพบกับพระอาจารย์ที่มีวาจาสิทธ์รูปหนึ่ง ชื่อ พระอธิการสินฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองเต่า ต.โนนขีเหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี โดยท่านหลวงพ่อสินฯ ตอนนั้นท่านอายุได้ ๗๐ พรรษา ซึ่งท่านเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาประชาชนชาวจังหวัดอุทัยธานี เป็นอย่างมากมารดาได้นำเด็ชาย ทวาย หาญสาริกิจ ไปถวายให้กับหลวงพ่อสินฯ และที่นี่ท่านหลวงพ่อสินฯ จึงได้ตรัสพ้อว่า ชื่อเจ้าทวายนี้เป็น กาลกิณี ควรที่จะเปลี่ยนเสียใหม่ ด้วยเหตุนี้ท่านหลวงพ่อสินฯ จึงได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า " ผินะ " เป็นภาษาบาลี แยกได้เป็นสองพยางค์คือ " ผิ + นะ " คำว่าผิ แปลว่า ดูก่อน และคำว่านะ แปลว่า หามิได้ (หมายถึงคมแห่งหญ้าคา)ท่านหลวงพ่อสินฯ ได้สั่งเด็กชาย ผินะ หาญสาริกิจว่า " ต่อไปมึงอย่าได้ชักอีก พอมึงโตแล้วต้องมาบวชแทนกู " พร้อมกับถ่มน้ำลายใส่หัวแล้วลูบไล้ไปมาอย่างเอ็นดู และได้สั่งเป็นเคล็ดลับอีกว่า " ฝากแม่มันเลี้ยงไว้ก่อน โตแล้วจะเอาไปอยู่ด้วย " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายผินะ หาญสาริกิจ ก็มิได้ชักอีกเลย
เมื่อโตขึ้นพอรู้เดียงสา และพอจำความได้บ้างแล้ว มารดาจึงได้เล่าเรื่องให้ได้ทราบไว้ ด้วยเหตุนี้ เด็กชายผินะ ไม่สนใจในการบวชเลย เป็นเด็กที่กลัวผีมาก ถ้าบ้านไหนมีคนตายก็จะไม่กล้าไป เวลามือขึ้นบันไดบ้านพอถึงขั้นสุดท้ายก็กระโดดข้ามเลย กลัวว่าผีจะดึงขา ไปเที่ยวที่ไหนๆ กันกับเพื่อนๆ ก็ไม่กล้าอยู่ข้างหน้า อยู่ข้างหลังก็ไม่เอา นึกอยู่แต่ในใจว่าเมื่อคนตายแล้วเขาเอาไปไว้ที่วัด เข้าใจเอาว่าผีอยู่ในวัดคงมาก
ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ เมื่ออายุครบบวชบิดาขอให้บวชให้ ๗ วัน เพราะว่าเวลาช่วงนั้น บิดาท่านเป็นไข้หนัก และก็ได้ตายลงในเวลาต่อมา หลังจากที่ทำบุญ ๗ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับบิดาเสร็จแล้วพระมหาอำนวยฯ ได้เป็นธุระในการอุปสมบทให้ ณ วัดหนองเต่า ต.โนนขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี และให้นามว่า " พระภิกษุผินะ นามฉายาว่า มหาปญฺโญ " มีพระมหาอำนายฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูอุดมฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานีเป็นพระอุปัชฌาย์ พออุปสมบทได้เพียง ๕ วัน โยมมารดามาขอร้องให้อยู่ต่ออีก ๒๐ วัน บอกว่า ผมยังสั้นอยู่สึกออกมาแล้วเดี๋ยวจะอายหัวโล้น อยู่มาได้ ๑๑ วัน โยมมารดาของเพื่อนได้ตายอีก ทีนี้ เขามาเจาะจงเอาเฉพาะพระภิษุผินะ มหาปญฺโญ ไปจูงศพให้ได้ จากที่บ้านศพไปยังวัดระยะทางก็ประมาณ ๒ กิโลเมตร พอศพมาถึงวัด เขากลัวว่าจะเป็นโรคกรรมพันธุ์ เพราะเป็นโรคฝีในท้อง หรือที่เรียกว่า วัณโรค สัปเหร่อได้ทำการผ่าท้องศพ และทำความสะอาดพร้อมทั้งสาธิตบรรยาย เพราะโดยสมัยนั้นไม่มียาฉีดป้องกันเหมือนอย่างสมัยนี้ ศพจึงเหม็นมาก เมื่อเวลาจะสวดศพ พระภิกษุผินะฯ ฉันอาหารอยู่ไม่ได้ถึง ๓-๔ วัน พอเวลาค่ำมืดลงก็ไม่กล้าที่จะออกจากกุฏิเลย เวลานอนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ จึงได้ขอลาพระกรรมวาจาจารย์ไปพกที่อื่นสัก ๕ วัน และจะกลับมาลาสิกขาเพศ
จึงได้เดินทางออกจากวัดหนองเต่า ไปพักที่วัดบ้านกลาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุทัยธานี พอไปถึงยังวัดบ้านกลาง ท่านเจ้าอาวาสก็ได้อนุญาตให้อยู่ด้วย ต่อมาอีก ๑ ชั่วโมงก็ได้ยินโยมมาอาราธนาไปสวดมาติกาบังสุกุล ทีนี้พอเอาศพเข้ามาวัด ญาติโยมเขาก็ได้ผ่าศพอีก เหมือนกับวัดที่บวชมา ตอนนี้พระภิกษุผินะ เลวได้ขึ้นไปกราบล่าท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านกลาง และออกจากวัดไปเดี๋ยวนั้นเลย
เมื่อเดินทางมาถึงยังแม่น้ำแควตากแดด เห็นแม่ค้าขายผักกำลังเคาะกระบอกไม้ไผ่เรียกเรือมาให้ช่วยรับข้ามฟากที พระภิกษุผินะ มหาปญฺโญ ได้ลงเรือไปก่นและไปนั่งอยู่หัวเรือ โยมแม่ค้าคนแก่ก็ลงเรือมาอีก บัดนั้น ได้มีแม่ค้าขายผักเช่นกัน แต่เป็นหญิงสาว ได้ลงเรือเป็นคนสุดท้าย และเมื่อเรือได้ออกจากท่าแล้ว ทันใดนั้นไม้คานของหญิงสาวขายผักก็ได้ตกลงไปในน้ำ เธอได้ร้องอุทานว่า " อุ้ย .... ควยพระตกน้ำ " พระภิกษุผินะฯ ได้บอกว่า " หนู....เก็บให้หลวงพี่ด้วย หลวงพี่มีอยู่อันเดียวเอาไว้เยี่ยว " เมื่อเรือมาถึงฝั่ง จึงได้อายแก่หญิงสาวคนนั้นมากรีบเดินจากไปโดยเร็ว หญิงสาวขายผักคนนั้นก็ได้เดินตามมาติดๆ และร้องถามว่า " หลวงพี่จะไปไหน " พระภิกษุผินะฯ ได้ตอบว่า " ไม่รู้จะไปที่ไหน เพราะหนีผีมา " หญิงสาวคนนั้นออกปากชวนว่า " หลวงพี่ไปอยู่วัดหนูมั้ย " มีหลวงตาอยู่วัดองค์เดียว และมีเด็กคนหนึ่งชื่อ " โต้ง "หญิงสาวคนนั้นได้พาไปพักที่วัดเกาเทโพ อ.มโนรมณ์ จ.ชัยนาท วัดนี้ดีมากๆ มีพระภิกษุอยู่ในอารามเพียง ๑ รูป เท่านั้น จึงเล่าความในใจให้พระหลวงตาที่วัดนั้นฟังว่า " กลัวผีมาก " อยู่กับพระหลวงตาสัก ๕ วัน แล้วจะกลับไปลาสิกขาเพศ เพราะยังห่วงว่ามีน้องๆ อีกหลายคน โยมมารดาท่านไม่ยอมให้บวชนาน (โยมมารดาเป็นคนมีเชื้อสายจีน) โยมมารดาบอกว่า " คนอื่นๆ ที่เขาไม่บวชก็ดีๆ มีถมไป เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ "
ท่านพระหลวงตาคำ (ทราบชื่อเมื่อภายหลัง) ได้บอกว่า การกลัวผีนั้นไม่ถูกต้อง ตับ ไต ไส้ พุง ฯลฯ ที่ท่านดูและเห็นมานั้น ก็มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้นทุกคน แล้วพระหลวงตาคำก็ได้สอนในสติปัฏฐาน ๔ และให้เรียนภาษาขอมด้วย เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้น พระภิกษุผินะฯ ก็ได้ลองมาปฏิบัติดู จึงได้รู้และเข้าใจดีว่า " คน " กับ " ผี " ก็คืออันเดียวกัน คือให้น้อมเป็น " เอโก้ - ธัมโม " แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสิ่งที่ได้รู้เข้าไปนั้น คือ ปฐมฌาณ ก็นึกรังเกียจตัวเองขึ้นมา
เวลาล่วงไป ๓๐ วัน ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน สมาทานถวายตนเป็นผู้ถือเพศพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต ทีนี้นึกขึ้นได้ว่า โยมมารดาคงคอยอยู่ จึงได้กราบลาพระหลวงตาคำ กลับไปบ้านเพื่อพบวกับโยมมารดา พอไปถึงบ้าน พบกับโยมมารดาและได้เรียนท่านให้ทราบว่าจะไม่ลาสิกขาบทเพศอย่างเด็ดขาด โยมมารดาก็ต่อว่า จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว และได้แต่ร้องไห้ พระภิกษุผินะได้ลาโยมมารดามาอยู่ที่วัดหนองเต่า ต.โนนขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี เพื่อที่จะได้เรียนพระปริยัติธรรม จะได้เอาใบประกาศนียบัตรนักธรรมตรี เพื่อนำไปเป็นหลักฐานแสดงต่อทาง สัสดีอำเภอ กรณี ยกเว้นการเกณฑ์ทหาร ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปที่วัดทุ่งแก้ว เพื่อไปพบกับเจ้าคุณ เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นเจ้าคุณลุง เพื่อปรึกษาและรับข้อชี้แนะในการที่จะสอบนักธรรมตรีผ่านให้ได้โดยไม่ต้องการที่จะเป็นทหาร
ต่อมาได้สอบนักธรรมตรีได้ ก็ได้โล่งใจ จึงได้เอาประกาศนียบัตรนักธรรมตรีไปยื่นต่อสัสดีอำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานี ท่านสัสดีอำเภอทัพทัน ได้บอกกับพระภิกษุผินะฯ ว่า พระคุณเจ้าจะต้องบวชไปอีก ๑๐ พรรษา จึงจะพ้นการเกณฑ์ทหารได้ พระภิกษุผินะฯ จึงได้ยืนยันว่า ' ให้ถึง ๒๐ พรรษา ' เลยปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ไปกราบเรียนต่อท่านเจ้าคุณลุง เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เพื่อขออนุญาตเดินทางจาริกฯ เจ้าคุณลุง ก็ได้ออกหนังสือเดินทางจากริกฯ ให้ ตอนนั้นตั้งใจที่จะมาศึกษาค้นคว้าในพระไตรปิฎกกับท่านพระหลวงพ่อเภาฯ และพระหลวงพ่อคงฯ และเลื่อมสนในปฏิปทาของท่านพระหลวงพ่อเภาฯ ประกอบทั้งได้รับคำบอกเล่าว่า ท่านพระหลวงพ่อเภาฯ ได้สร้างเรือสำเภาให้เป็นอนุสรณ์สำหรับโยมมารดาของท่าน (ที่ฝันเห็น) ไว้ ณ บนยอดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี จึงได้เดินทางจากจ.อุทัยธานี ผ่านมายัง อ.โคกสำโรง มุ่งตรงมายัง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี แล้วตั้งใจตรงไปยังเขาวงกต ขณะมาถึงยังทางเข้าเขาวงกต ได้พักอยู่ที่หน้าบ้านของโยมสุข ซึ่งบ้านของแกอยู่บริเวณทางที่เข้าไปยังเขาวงกตแห่งนั้น (การเดินทางจากจ.อุทัยธานีมาถึงที่บริเวณทางขึ้นเขาวงกตแห่งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น ๕ วัน ๖ คืน) จึงได้พบกับโยมสุข และได้สนทนากับโยมสุขมาตอนหนึ่ง โยมสุขได้พูดถึง มีพระอาจารย์รูปหนึ่งคงมีคาถาดี สามารถคุยกับมดรู้เรื่อง และก็ได้เสกให้มดหายไปหมดโดยโยมสุขบอกว่าอยากจะเรียนคาถาหายตัวได้ เหมือนกันกับพระอาจารย์รูปนั้นที่เสกให้มดหายไปหมด (จะได้หายตัวและเข้าไปขโมยเงินในธนาคาร ตามความคิดของโยมสุข) พระภิกษุผินะฯ ก็ได้ถามโยมสุขว่า พระคุณท่านพระอาจารย์รูปนั้นมีนามว่ากระไร โยมสุขก็ได้เล่าให้ฟังว่าเช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์เสาร์ฯ พระมหาบัย ญาณสมปนฺโน ได้ออกบินฑบาต เสร็จแล้วเดินทางมายังหน้าบ้านของโยมสุข และโยมสุขได้ใส่บาตรกับพระอาจารย์ทั้งสามรูปด้วย แต่แกก็ได้ดื่มเหล้ามาบ้างในวันนั้น พระอาจารย์ทั้งสามรูปได้เลือกเอาลานดินว่างๆ ตรงเยื้องหน้าบ้านของโยมสุขเป็นที่นั่งฉันอาหารบิณฑบาต และพระอาจารย์มั่นฯ ก็ได้ใช้ให้พระมหาบัวฯ ไปตามโยมสุขให้ไปพบที่นั่นถึง ๓ หน หนที่ ๓ โยมสุขได้บ่นว่า ' พระรูปนี้หิวเหล้ารึไง ' จะขอเหล้าเรากินหรือ จึงได้ตามอยู่ได้ บ่นเสร็จ โยมสุขก็ได้เดินไปที่ลานดินบริเวณที่ท่านพระอาจารย์ทั้งสามนั่งอยู่ เมื่อไปถึงที่นั่น โยมสุขก็ได้เห็นมดง่ามขึ้นที่สำรับกับข้าวของพระอาจารย์ทั้งสาม โยมสุขก็เพียงแต่มองดู เห็นและได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นฯ พูดกับมดว่า ' ไป ไป สูเจ้าจงฮีบไป่ เดี๋ยวคนเขาสิทำฮ้ายเอา ' เสร็จแล้วมดก็ได้หายไปหมด ' โยมสุขก็ได้แต่คิดว่า ' บ๊ะ พระรูปนี้คงไม่ใช่พระธรรมดาเสียแล้ว 'พระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยถามโยมสุขขึ้นว่า ' เฒ่าสุข เจ้ากินเหล้าเหมิดมื่อละทอได๋ ' โยมสุขตอบว่า ' กินวันละ ๒ บาท กับแกล้มด้วย ' (สมัยนั้นเหล้าขวดละ ๑ สลึง) ทีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้บอกกับโยมสุขว่า จะช่วยให้โยมสุขสบายมากกว่านี้และเร็วขึ้น โดยจะให้เงินแก่โยมสุขไว้ซื้อเหล้ากินวันละ ๒ บาทเอาไหม โดยจะฝากเงินเอาไว้ให้ แต่มีข้อแม้ว่า เฒ่าสุขต้องถือศีล ๓ ข้อนี้ให้ได้เสียก่อน ศีล ๓ ข้อที่ว่านี้ต้องทำให้ได้ก่อนคือ
ข้อ ๑ ไม่ต้องทำบุญใส่บาตร และห้ามเข้าวัดฟังธรรม
ข้อ ๒ ให้ด่าโคตรพ่อโคตรแม่พระ (ด่าค่อยๆ ก็ได้ถ้าพระได้ยินเดี๋ยวจะฆ่าเอา)
ข้อ ๓ ให้กินเหล้าให้หมดวันละ ๒ บาท
โยมสุขบ่น โอ๊ย ไม่เอาแล้ว แค่กินเหล้าก็ตกนรกหมกไหม้อยู่แล้ว แถมไม่ให้เข้าวัดฟังธรรม ให้ด่าพระอีก มันนรกชัดๆ นั่นเลว ไม่เอาดอก ไม่เอาทั้งนั้น ทั้งเหล้าทั้งยาทั้งเงินหลวงพ่อไม่เอาดอก เมื่อโยมสุขเปล่งอุทานออกมาเช่นนั้น พระอาจารย์มั่น จึงได้ให้โยมสุขรับศีล ๕ และสมทานศีล ๕ แต่วันนั้น ครั้งต่อมา หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ พระอาจารย์เสาร์ และพระมหาบัวฯ ได้บิณฑบาตเสร็จแล้ว ก็ได้กลับไปนั่งบริเวณหน้าถ้ำตรงทางขึ้นเขาวงกต วันนั้นโยมสุขได้เอามันเพิ่ม (มันเสาร์) ที่ต้มแล้ว ไปถวายให้กับพระอาจารย์ทั้งสามรูป เมื่อประเคนเสร็จแล้ว พระอาจารย์มั่นฯ ได้เลื่อนจานมันเพิ่มไปทางพระมหาบัวฯ และเอ่ยว่า “ ถ้ามีน้ำตาลจิ้มคงสิดีน๊อ “ เสร็จแล้วท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้สั่งให้โยมสุขไปหยิบเอาน้ำตาลที่อยู่ในปิ่นโต ที่แขวนอยู่บนไม้พระองค์ มีอยู่เถาหนึ่งซึ่งมี ๕ ชั้น โยมสุขได้เดินไปที่ไม้พระองค์ที่มีปิ่นโตแขวนอยู่ได้หยิบปิ่นโตขึ้นดู รู้สึกว่าเบาๆ และก็ได้เปิดดู ก็ไม่เห็นมีน้ำตาลเลย จึงได้กลับมาเรียนท่านอาจารย์มั่นฯ ว่า “ ไม่มีน้ำตาลในปิ่นโตในเถาเลยสักชั้นเดียว “ ขอรับ ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นว่า “ บ๊ะ ของมีอยู่เป็นหยังว่าบ่มี เฒ่าสุข “ ไป๊ ท่านพระอาจารย์มั่นฯ หันไปสั่งทางพระมหาบัวฯ “ มหาท่านไป๋เอ่ามา “ พระมหาบัวฯ ได้ลุกขึ้นเดินไปหยิบปิ่นโตที่แขวนอยู่ ได้หยิบปิ่นโตขึ้นและยกออกมาจากเถา ๑ ชั้น ก็เห็นมีน้ำตาลทรายเต็มชั้นไปหมด โยมสุขเห็นเช่นนั้นก็นึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงได้รำพึงแต่ในใจว่า “ อี๊ ของไม่มีกลับเป็นมี “เมื่อท่านพระมหาบัวฯ นั่งลงแล้ว ท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปก็ได้ฉันอาหารบิณฑบาตจนเป็นที่เรียบร้อย ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยกับโยมสุขขึ้นว่า “ มื่อหนี่ ข่อยสิให้เจ้าฮับศีล ๘ เมื่อเจ้าฮับแล้ว ต้องเข่าไปในถ้ำ ให่นั่งซือๆ หายใจเข้าออก จ่มว่า พุทโธ พุทโธ เทิงมื่อเน้อ “ โยมสุขได้ตรึก นึกอยู่ในเรื่องที่ว่า “ ของไม่มีแต่กลับเป็นมีขึ้นมาได้ “ ก็เลยเกิดปิติ จึงรับคำของพระอาจารย์มั่นฯ ที่จะเข้าไปปฏิบัติในถ้ำ และนั่งอยู่ ณ ที่อันควรในความมืด ได้ภาวนาตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ สั่ง ประมาณสักพักใหญ่ ได้เกิดแสงสว่างขึ้นในดวงตา และโยมสุขได้เห็นเป็นอ่างน้ำใบหนึ่ง มีเลือดเต็มไปหมด สีเลือดก็ค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำล้างเนื้อ และน้ำนั้นก็ค่อยๆ วนจนเล็กลงเท่าไข่ ทันใดนั้น ก็เห็นเป็นเด็กหญิงอยู่ในไข่ สักประเดี๋ยวก็ได้โตขึ้นเป็นสาว อีกพักเดียวต่อมาก็กลายเป็นเมียโยมสุขนั่นเอง อยู่ไม่นานนักก็กลายเป็นคนแก่ชราและก็ตายไป ทีนี้ก็มีขึ้นอืด มีกลิ่นเหม็นอบอวลไปหมด เหม็นจนโยมสุขทนไม่ไหว และก็ได้ออกมาจากถ้ำ กราบขออนุญาตจากพระอาจารย์มั่นฯ ว่า ขอให้แกได้บวชในพระพุทธศาสนาจะได้ไหม พระอาจารย์มั่นฯ บอกว่า “ บ่ได้ดอก ถ้าบวชเดี๋ยวตาย ได้แค่ถือศีล ๘ ไปก่ะแล้วกั๋น ตั้งแต่นั้นโยมสุขก็ได้ถือศีล ๘ ตลอดชีวิต และปฏิบัระภิกษุผินะฯ ได้สอบถามโยมสุขว่า ท่านพระอาจารย์ทั้งสามนั้นอยู่ที่ไหน โยมสุขบอกว่า ท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปได้เดินทางกลับไปยังสำนักแล้ว อยู่ทางจังหวัดสกลนครโน่นแหละ ดังนั้นพระภิกษุผินะฯ จึงได้เดินทางต่อมายังวัดถ้ำตะโก เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกกับท่านพระหลวงพ่อเภาฯ และท่านพระหลวงพ่อคงฯ แต่ท่านพระอาจารย์ทั้งสองรูปได้มรภาพเสียแล้ว คงเหลือแต่พระหลวงพ่ออุ่มฯ กับหลวงพ่อดำฯ และได้ศึกษาพระไตรปิฎกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ อยู่ที่วัดถ้ำตะโก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรีแห่งนี้
ขณะที่ท่านได้ศึกษาพระไตรปิฎกอยู่นั้น สงครามมหาเอเชียบูรพาก็ได้เริ่มขึ้น (สงครามญี่ปุ่น) กำลังมีศึกสงครามไม่ทราบว่าใครเอาข่าวไปบอกโยมมารดาว่า “ พวกทหารญี่ปุ่นเอาพระเครื่องไปต้มให้ทหารเค้ากิน “ โยมมารดาเข้าใจผิดคิดว่าพวกญี่ปุ่นจับเอาพระไปต้มกิน โยมมารดาถึงกับคุ้มคลั่งคุมสติไม่อยู่ สงสารพระลูกชาย และคิดว่าเขาจะจับพระลูกชายไป จนถึงกับต้องถูกล่ามโซ่ไว้ทีเดียว ทีนี้พระภิกษุผินะฯ ได้เดินทางกลับไปที่บ้านเกิด และพักที่วัดเกาะเทโพ อ.มโนรมณ์ จ.ชัยนาทพระภิกษุผินะฯ ได้เดินทางไปยังวัดหนองเต่าจ.อุทัยธานี และได้ไปปรึกษากับน้องๆ ทั้ง ๔ คนที่อยู่บ้านว่า เพื่อที่จะไม่ให้ยึดติดในสมบัติ อันที่จะเป็นห่วงกังวลเสียเปล่าๆ ก็จะให้ขายสมบัติของโยมบิดา และโยมมารดา ทั้งหมดเสีย และจะได้เอาเงินไปรักษาพยาบาลโยมมารดา จึงได้พาน้องๆ ทั้ง ๔ คนไปบวชที่วัดหนองเต่า อ.เมือง จ.อุทัยธานีเมื่อบวชน้องทั้ง ๔ คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คืนที่ ๒ บวชเป็นพระภิกษุ, คนที่ ๓ บวชเป็นชี, คนที่ ๔ บวชเป็นสามเณร และคนที่ ๕ บวชเป็นตาปะขาว วันรุ่งขึ้นก็ให้โยมมารดาขึ้นเกวียนไปที่แม่น้ำแควตากแดดซึ่งอยู่ห่างจากวัดหนองเต่าไป ๓๐ กิโลเมตร ดังนั้นทั้ง ๖ ชีวิตก็ได้จ้างเรือล่องมาตามแม้น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. จนกระทั้งถึงเวลา ๐๙.๐๐ น.ของวันรุ่งขึ้น จึงได้มาถึงยังจ.สิงห์บุรีขณะนั้น ได้ปลดโซ่ที่ล่ามโยมมารดาออก แล้วได้ซื้อเข่งไม้ไผ่ที่เขาใช้สำหรับใส่พลู เอาใบตองกล้วยรองก้นเข่ง แล้วพาโยมมารดาเดินทางต่อไปยังเขาสมอคอน ถึงวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรี ขณะนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่งชำนาญและรู้จักสมุนไพรประกอบยา และมีฐานะเป็นน้องของท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ชื่อพระอาจารย์ผ่องฯ เป็นภาระดูแลรักษาโยมมารดาให้อยู่ประมาณ ๑๕ วัน อาการป่วยของโยมมารดาก็หายเป็นปกติ แต่เวรกรรมของท่านยังไม่หมด ก็ได้มีโรคแทรกซ้อนขึ้นอีก คือ มีฝีขึ้นที่บริเวณขากรรไกรเข้าใจว่าเป็นฝีธรรมดา สุดท้ายฝีก็ได้แตกออก มีเลือดไหลออกมาก พร้อมกับกระดูกหลุดออกมาจากขากรรไกรยาวประมาณ ๑ นิ้ว เมื่อเห็นอาการป่วยของโยมมารดา ก็คิดว่าไหนๆ โยมมารดาคงไม่รอดแน่ ในที่สุดจึงได้เรียกน้องๆ ทั้ง ๔ คนมาเพื่อปรึกษาว่า เอาปัจจัยที่ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับโยมมารดาเพื่อถวายวัด อุทิศส่วนกุศลไปให้กับโยมบิดาที่เสียชีวิตไปก่อน น้องๆ ทั้งหมดก็ไม่ขัดข้อง ได้อนุโมทนา แต่โยมมารดาค้านว่า “ ถ้าถวายวัดหมดแล้วจะเอาอะไรใช้กัน “ บรรดาพวกลูกๆ ก็ตอบไปว่า สมบัติที่โยมบิดา และโยมมารดาให้มานั้นก็ใช้ไม่หมดแล้ว (ความหมายก็คือ ร่างกายที่สมบูรณ์)จากนั้นจึงได้เอาปัจจัยทั้งหมดใส่มือโยมมารดา ให้อธิษฐานเป็นมหากุศล แล้วก็ได้นิมนต์ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก มารับเอาปัจจัยดังกล่าว ท่านสมภารก็ได้จัดการเอาปัจจัยที่ได้รับถวายนั้น ไปซื้อนาเข้าเป็นสมบัติของสงฆ์ อีกทีหนึ่ง ตอนนั้นราคาไร่ละ ๓๐๐ บาท ต่อมาไม่นานโยมมารดาก็ได้เสียชีวิตลง จึงได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาที่ล่วงลับไป หลังจากทำบุญ ๗ วันอุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาแล้ว ก็ได้วิตกวิจารณ์ดูว่าโยมมารดาที่ตายไปแล้วนี้ไปอยู่ ณ ที่ใด ทำบุญกรวดน้ำไปให้จะได้รับหรือเปล่า จึงได้ออกติดตามค้นหาโยมมารดา แต่นั้นเป็นต้นมา และได้เดินทางออกจากวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรีมาแต่เพียงลำพังผู้เดียว เที่ยวเสาะแสวงหาโยมมารดา จนกระทั่งมาถึงย้ำถ้ำประทุน ที่บ้านหนามจั้น จ.ลพบุรี จึงได้พบกับพระหลวงตาอ่อนฯ (ท่านเป็นชนชาติเขมร) ก็ได้เข้าไปกราบขอโอกาส ขออนุญาต โดยก้มลงกราบเอามือลูบเท้าท่าน แล้วน้อมขึ้นใส่ศรีษะเหนือเกล้า และได้กราบเรียนถามท่านพระหลวงตาอ่อนฯ ว่าพระภิกษุผินะถามว่า หลวงตาครับ ผมอยากทราบว่า อะไรเป็นผมครับพระหลวงตาอ่อนฯ ตอบว่า ไม่รู้สิ ท่านถามแบบนี้ไม่รู้หรอก มันเป็นปรมัตถ์ ไม่ได้เรียนมาและพระหลวงตาอ่อนฯ ก็ย้อนถามว่า แล้วท่านคิดว่าท่านเป็นใครล่ะเมื่อสนทนากับพระหลวงตาอ่อนฯ ได้พอสมควร จึงขออนุญาต และขอโอกาสกราบลาท่านเดินทางต่อไปยังที่เขาพระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี จึงได้พบกับพระหลวงพ่ออ่อนฯ (เป็นคนไทย) มากราบไหว้พระพุทธบาท จึงได้เข้าไปกราบขออนุญาตกราบลงแทบเท้าเอามือลูบที่เท้าท่าน แล้วน้อมขึ้นใส่กระหม่อม และได้เอ่ยถามท่านว่า
พระภิกษุผินะฯ ถามว่า หลวงพ่อครับช่วยดูหน่อยว่าอะไรเป็นของผม
พระหลวงพ่ออ่อนฯ ตอบว่า แล้วใครเป็นคนถามผมล่ะพระภิกษุผินะฯ ตอบว่า ผมเองพระหลวงพ่ออ่อนฯ จึงตอบต่อว่า คนที่ถามผมเป็นท่าน ฯลฯพระภิกษุผินะฯ ได้พักอาศัยอยู่กับพระหลวงพ่ออ่อนฯ ที่พระพุทธบาทเป็นเวลา ๗-๘ วัน จึงกราบขออนุญาต ขอโอกาสเดินทางต่อมายังเขานกพิลาบ จ.สระบุรี เดินทางมาตามหาโยมมารดามาเรื่อยๆ ว่า ขณะนี้อยู่ที่ใด ผ่านมาจนวถึงเขานกพิราบ อ.เมือง จ.สระบุรี ตั้งใจบำเพ็บเพียรเพื่อที่จะหาโยมมารดาให้พบ ระหว่างบริเวณเขานกพิราบ มีบ้านคนแค่ ๔ หลังคาเรือนเท่านั้น ได้ตั้งใจค้นหามารดา และค้นหาตัวของพระภิกษุผินะฯ ว่าอยู่ที่ไหน มีหรือไม่ เป็นประการใด อยู่ที่เขานกพิราบนี้เป็นเวลา ๑๘ วัน และได้พบกับเหตุการณ์ที่แปลกอันหนึ่ง คือได้พบกับอุคคหนิมิตเข้าโดยบังเอิญ คือ
วันแรก หลังจากที่ได้ทำความเพียรค้นหาโยมมารดาแล้ว ได้พบผู้หญิงสาวคนหนึ่งเดินมา และจูงเด็กมาด้วย จึงได้เอ่ยถามว่า
พระภิกษุผินะฯ ถามว่า หนูชื่ออะไร
หญิงสอบ ตอบว่า ชื่อยี่สุ่น
พระภิกษุผินะ ฯ ถามว่า บ้านหนูอยู่ที่ไหน หญิงสาว ตอบว่า อยู่ทางโน้น
(เธอได้ชี้นิ้วมือไปทางด้านหน้า แต่ปรากฏว่า ไม่เห็นมีบ้านคนเลย เธอได้นำอาหารมาใส่บาตรด้วย พร้อมกับจูงมือเด็กเดินจากไป และทำท่าทำทางคล้ายกับจะฟ้อนรำ และร้อว่า จะอื้อ....จะอื้อ.....จะอื่อ ดูลักษณะและท่าทางแล้ว ยั่วยวนชวนพิศวาสมาก ขนาดทำให้อสุจิเคลื่อนพระภิกษุผินะฯ จึงได้เดินทางตัดผ่านป่าออกมายังเขาคอก อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อพ้นป่าออกมาได้ ก็ได้พบหมู่บ้านคน จึงได้ถามเขาว่า ในป่าที่ผ่านมานั้น มีบ้านคนอาศัยอยู่บ้างไหม ชาวบ้านบอกว่าไม่มีบ้านคนเลย จึงได้หายสงสัย แล้วก็เชื่อว่าเจอ “ อุคคหนิมิต “ เล่นงานเข้าแล้ว ดังนั้นจึงได้มุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังถ้ำวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรี เพื่อเข้าอยู่ “ ปริวาสกรรม “ต่อไปเมื่อเข้าอยู่ ปริวาสกรรม ครบ ๑๕ วันแล้ว ก็ได้พาบรรดาน้องๆ เดินทางออกจากวัดถ้ำตะโก มุ่งหน้าไปยังวัดเกาะเทโพ จ.ชัยนาท และได้พักอยู่ที่นี้เป็นเวลา ๑ พรรษา เพื่อรอให้พระภิกษุเสริมเกียรติ์ ได้สอบนักธรรมตรี และทำเรื่องยกเว้นทหาร เมื่อเสร็จธุระทุกๆ อย่างของพระภิกษุสมเกียรติ์ แล้วก็พากันออกเดินทางไปยังวัดหมากแข้ง จ.อุทัยธานี เพื่อไปพบกับพระอาจารย์แสวงฯ เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม อยู่ได้ไม่นานก็ออกจากวัดหมากแข้ง เดินธุดงค์ต่อมาถึงที่พระพุทธบาท จ.สระบุรี และก็ได้เดินทางไปที่เขานกพิราบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้พบกับอคคหนิมิตที่ชื่อ ยี่สุ่น อีกเลย จึงได้เดินทางต่อมาที่บ้านหินซ้อน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆ จนมาโผล่ที่บ้านปะหรุ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา (เดินทางจากเขานกพิราบ มาจนถึงบ้านปะหรุ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ใช้เวลาไปทั้งสิ้น ๒๑ วัน) และก็ได้เดินทางต่อไปจนถึง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้เข้าไปที่วัดป่าสุทธาวาส บ้านหนองผือในนาอ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เรียนธรรมและปฏิบัติธรรมอยู่กับพระอาจารย์มั่นฯ เป็นเวลา ๑ เดือน ในระหว่างที่ได้รับใช้และปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่นฯ อยู่นั้น ท่านพระอาจารย์มั่นฯ จะสอนธรรมเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. เป็นอย่างน้อย พระภิกษุผินะฯ ได้นวดพระอาจารย์มั่นฯ เมื่อนวดไปท่านพระอาจารย์มั่นฯ ก็ได้ผายลมออกมา และได้เอ่ยต่อทางพระภิกษุผินะฯ ว่า “ เหม็น บ่ “
พระภิกษุผินะฯ ตอบว่า ไม่เหม็น ขอรับ
พระอาจารย์มั่นฯ ตอบว่า บ๊ะ ตดหน่ะ ไผสิบ่เหม็น บีมีดอกมาแกล้งย่อมกั๋นนี่ ในขณะที่นังพังบรรยายธรรมอยู่นั้น ได้มีพระภิกษุร่วมฟังบรรยายด้วยประมาณ ๒๐ รูป รวมทั้งพระอาจารย์บุตรฯ ด้วย เมื่อขณะที่ได้ปฏิบัติพระอาจารย์มั่นฯ อยู่นั้น ก็ได้ฟังนิทานธรรม คดีอุปมาอุปมัยด้วยกันหลายเรื่องคือ
เรื่อง ลิงติดตัง
พระอาจารย์มั่นฯ ได้สนทนาธรรมกับรรดาลูกศิษย์อยู่นั้น พระอาจารย์ก็ได้ชี้นิ้วมือมาทางพระภิกษุผินะฯ พร้อมกับกล้าวขึ้นว่า สมัยข่อย ทอเจ้าหนี่ ข่อย พอลิงโตนึงมานั่งผิงแดดฮ่านี่ มีพ่อออกผู้นึงถือพร้าโต้มานำ พ่อลิงเข่าก่ะอยากสิได้ พ่ออกผู้นั้น เกิดความคึกขึ่นจังว่าคว้าพร้าโต้เข่าไป่ในป่า ไปตัดเอาไม้ไผ่มาเฮ็ดเป็นกระบั้ง (กระบั้งสำหรับใส่น้ำ) ตัดมาได้ ๑ กระบั้ง แล้วฮ่าหนี่ ก่ะไปตัดเอายางคุย เขาเอิ้นย่าน หู้จักบ่ ย่านน่ะ แม่นว่า เฮาตัดเทิงกกน้ำมันบ่ออกดอก ต้องตัดทางปลายแล้วยกขึ้น น้ำไหล ซ่า ใส่กระบั้งนำมา ๑ กระบั้ง แล้วมาผสมกับน้ำมันยางใส ใส่ขี่กุ เอาไฟดังเอาใส่คุเคล้าให้เหนียวเป็น ตัง (สำหรับดักสัตว์) เสร็จแล้วพ่ออ่อนผู้นั้น ก่ะเอ่า ตังไป่ยองเทิงตอไฟไหม้ฮั่น สวยมาแดดก่ะส่อง เจ้าล้องน้อยก่ะได้ไต๋ลงมาจากกกไม้ใหญ่ มานั่งผิงแดดเทิงต่อไม้ไฟไหม้กลางแดดตามเคย เมื่อปีนขึ๋ไป่เทิงต่อไม้แล้ว เจ้งลิงมันก่ะไปนั่งถืก ตัง เจ้าลิงมันก่ะเอามือไปบาย ตัง ผัดดิดมือขึ๋นมานำเข้าลิง่ะเลยแกะเอามาดมเล่น ตัง ก่ะไป่ติดมือ ติดแขน เข้าลิงมั้นก่ะป้ายไป่ทั่ว ป้ายไป่ก่ะติดขน ติดขา ติดโตทั่วไปเหมิด พ่ออกผู้นั้นเห็นยังสั้น จังย่างซือเข่าไป่สิจับเจ้าลิงฮั่น เจ้าลิงมันก่ะเติ๊กใจ ฟ่าวกระโดดหนีลงไป่จากต่อไม้ ตกดิน อานั่น ตัง ที่ติดโตเจ้าลิงก่ะได้ไป่ติดเอ่าขี่ดิน กิงไม้ ใบหญ้า เข่าอีกจำนอีหลักอีเหลื่อ แทบสิขึ่นต้นยางใหญ่บ่ไหว แต่เจ้าลิงมันก่ะปีนขึ่นไป่ได้ มันก่ะไป่มองโตมันเองว่า เป็นหยังจั่งใหญ่ขึ้น แต่กี้ โตหน่อยนึง เดี๋ยวนี้ โตใหญ่ขึ่นมาทอ (พระอาจารย์มั่นฯ ทำท่ากอบมือให้ดู) หนี่หากเจ้าลิงมันอยู่เทิงกกไม้ใหญ่ มองเบิ่งโตมันแล้วก่ะแกะกิ่งไม้แด ใบไม้แด ที่ติดโตมันขึ่นไป่ออกถิ่ม ทีละชิ้นสองชิ้น พ่อออกผู้นั้น คิดเสียดายว่าเกือบสิจับเจ้าลิงได้อยู่แล้ว จั่งได้ถือพร้าโต้ย่างเข่าป่าใหญ่อีก ครานี่ ก่ะได้ไป่ตัดเอ่าไม้ไผ่มาเฮ็ดกระบั้งอีก ๒ กระบั้ง ตัดเอ่าย่านมานำ ๒ กระบั้ง เอ่ามาเฮ็ดเป็น ตัง อีก เช้าขึ่นมาเมื่อใหม่ ก่ะได้เอ่า ตัง ที่เกรียมไว้ไป่อีก ๒ กระบั้ง ไปยองเทิงต่อไม้ไฟไหม้กลางแจ้งคื่อเก่า แหล่วยามมื่อสวยของมื่อฮั่น เจ้าลิงก่ะได้ลงมาจากต้นยางใหญ่ แล้วไป่ผิงแดดบ่อนเก่า เมื่อเจ้าลิง ขึ่นไป่เทิงต่อไม้แล้ว ก่ะได้ไปนั่งทับ ตัง เข้าอีกเจ้าลิงก่ะหยิบ ตัง ขึ่นมาเบิ่งอีกก่ะได้แกะ ตัง ออกเล่น ฮ่านี่ ตัง ก่ะเลยติดมือ ป้ายไป่ก่ะติดขน ติดแขน ติดโต ตัวหัว ติดอีก ต่อไป๋เหมิด พ่อออกเห็นจั่งสั้น ก่ะฟ่าวสิเข่าไปจับ เจ้าลิงก่ะกระโจนลงจากต่อไม้ สิหนีขึ่นต้นไม้ใหญ่ เลยตกไปข่างล่าง พาเอ่า ตัง ที่ติดโตไปคลุกเอ่าก้อนขี่ดินกิ่งไม้ ใบหญ้า ก้อนกวด ดินซาย แทบสิไต่ขึ่นต้นไม้บ่ไหว พ่อออกก่ะเกือบสิจับเจ้าลิงได้อีกแล้ว เจ้าลิงก่ะหนีไป่พ่นขึ้นต้นรไม้ใหญ่ไป่ได้อีก
เจ้าลิงมันก่ะมาเบิ่งโตมันเองว่า แต่กี้แต่ก่อน มันโตทอกอบมื่อหนี่เดี๋ยวนี้ มันหยั่งจั่งใหญ่ออก ทอคืบทอศอก มันมองไปมองมา นึกว่าแม่นมันบ่น๊อ มองไป่ก่ะแกะกิ่งไม้ที่ติดไปถิ่มแกะใบไม่ออกถิ่ม เอ่าขึ้นดินออกถิ่มแด มันก่ะง่วนอยู่ผู้เดียว มันฮั่นหนะ ฮาหนี่ เจ้าหู้บ่ มื่อแฮก “ ตัง “ นึ่งกระบั้ง มื่อสอง “ สองกระบั้ง ฮวมเป๋นทอได๋ “ พระภิกษุผินะฯ ตอบว่า รวมเป็น ๓ กระทั้งครับ พระอาจารย์มั่นฯ เอ้อ แม่นๆๆๆ ฮาหนี่ พ่อออกผู้นั่นคึดเสียดายหล๊ายหลายแต่หากบ่ะละความตั้งใจสิจับเจ้าลิงให้ได้ จั๊กถือพร้าโต้ ย่างเข่าไป่ในป่าอีก เทือนี่ ตัดไม้ไผ่เฮ้ดกระบั้งฮอด ๓ กระบั้ง มาเฮ็ดเป็น ตัง เซ้ามาก่ะเอา ตัง ไป่ยองเทิงต่อไปไม้อีกคื่อเก่า เจ้าลิงก่ะลงมาผิงแดดบอนเก่าอีก เจ้าลิงมันก่ะได้ไป่ติด ตัง เข่าอีกฮ่านี่ถือ ๓ กระบั้งโลด เอ้อฮ่าหนี่ ตัง มันก่ะติดพันเจ้าลิงทั่วไป่เหมิด ไป่ติดฮอดหัว ฮอดโต ฮอดแขน ฮอดขา ฮอดหาง ก่ะดิ้ก ตกลงข่างล่าง ตัง ที่มันติดโตเจ้าลิง ก่ะได้ไป่ติดเอาก้อนกวด ก้อนขี่หิน กิ่งไม้ ใบหญ้า ดินซาย เข่าไป่อีก โตเจ้าลิงมันก่ะใหญ่ขึ่น ๆๆ มันโตทอผี้ (ท่านพระอาจารย์กางแขนออกสองข้าง) ฮาหนี่ มันบ่แม่นลิงแหล่ว มันควยเด้ แล้วไผสิซ่อยมันได้ เสือมาเสือก่ะสิกิ่น งูมางูก่ะสิกิ่น ไผซ่อยมันได้ อย่าเข่าไปใกล้มันเด้ มันสิขบเอา เฮ็ดจังได๋สิซ่อยมันได้ ต้องเอ่าไฟดังมัน จังสิซ่อยมิได้ พระภิกษุผินะฯ ถามว่า แล้วมันไม่ตายหรือขอรับ พระอาจารย์มั่นฯ ตอบว่า บ่ต่ายดอก พระภิกษุผินะฯ ถามต่อว่า เป็นไรถึงไม่ตาย พระอาจารย์มั่นฯ ตอบว่า ไฟที่ดั่งมันบ่แม่นไฟธรรรมดาซือๆ เด้ เป่นไฟพุทธอัคคิ ธัมมอัคคิ สังฆอัคคิ ๓ กองสุมใส่ ตัง ให่วอดไป่เหมิดเลยแหล่วฮาหนี่เจ้าลิงมันก่ะไต่ขึ่นเทิงต้นไม้ใหญ่ได้ซำบาย ทอนั่นดัว
ทีนี้เรื่องตอไม้ที่อยู่กลางแดดนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ท่านให้เขียนเป็นตัวหนังสือดูว่า “ แดด “ เขียนยังไง บอกว่า “ สระแอ ดอเด็ก สะกดด้วยดอเด็ก (แดด) อ่านว่า แดด “ ทีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ให้เอาตัวดอเด็กอยู่กลางแดดออกตัวหนึ่ง และเอา “ ต “ (ต่อเต่า) ใส่เข้าไปแทนสะกดได้ว่า “ สระแอ ตอเต่า ดอเด็ก (แตด) “ พระอาจารย์มั่นฯ พูดต่อว่า ฮาหนี่ แตงเขียวมันบ่ติดดอก มันไป่ติดเอ่า “ แตงแดด “พระภิกษุผินะฯ คิดไปคิดมาใครครวญแล้ว นึกขึ้นได้จึงอุทานออกมาว่า “ ใครอยู่ใครตาย ใครไปใครก็รอด “
ผู้เข้าชม
1149 ครั้ง
ราคา
1000
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
เจนพระเครือง
ชื่อร้าน
บารมีบุญพระเครื่อง
ร้านค้า
baramebun.99wat.com
โทรศัพท์
0910162844
ไอดีไลน์
rit3009
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-93615-9
เหรียญหัวกระโหลกพรายกระซิบ เนื
ล-ป-สนม อติธมฺโมวัดพระปราค์เหล
เหรียญพระเจ้าบุญล้น พระพุทธโ
หนุมานทรงฤทธิ์ล-พ-วิชิต ฉนฺทสุ
ท้าวเวสสุวรรณรุ่นมหาสิทธิโชค ว
ล-ป-สุ่ม สิรินฺธโรพญาไก่เศรษฐี
ขุนแผนเมียเยอะเนื้อสีฟ้า หมายเ
ท้าวกุเวรเนื้อผงกระดูกผีหลวงปู
พญาครุฑเศรษฐีอนันตทรัพย์วาระกฐ
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
ลงพระฟรี
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ลืมรหัสผ่าน
ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
หริด์ เก้าแสน
stp253
termboon
Netnapa
tumlawyer
มนต์เมืองจันท์
เปียโน
เอก พานิชพระเครื่อง
บ้านพระสมเด็จ
ชาวานิช
ไกร วรมัน
ชา วานิช
someman
hra7215
jocho
ว.ศิลป์สยาม
เจริญสุข
ภูมิ IR
Le29Amulet
เทพจิระ
โจ๊ก ป่าแดง
น้ำตาลแดง
hopperman
siracha
lord
tplas
ep8600
tintin
เพ็ญจันทร์
mon37
ผู้เข้าชมขณะนี้ 1553 คน
เพิ่มข้อมูล
ล.พ.ผินะ วัดสนมลาววรวิหารสมเด็จหลังขุนช้าง
ส่งข้อความ
ชื่อพระเครื่อง
ล.พ.ผินะ วัดสนมลาววรวิหารสมเด็จหลังขุนช้าง
รายละเอียด
ประวัติความเป็นมาของ
หลวงพ่อผินะ ปิยธโร
ชื่อ : ทวาย นามสกุล หาญสาริกิจ
บิดาชื่อ : เทศ
มารดาชื่อ : นางตุ้ย
เกิดเมื่อ : วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน
วันที่ ๑ มีนาคา พ.ศ. ๒๔๖๕
ที่บ้าน ดอนลำโพง หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองยายดา อำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานี
การศึกษา : ประถมปีที่ ๔ วุฒินักธรรมตรี
อาชีพ : รับราชการครู และทำงานการไฟฟ้า
บิดา มีอาชีพ : รับราชการทหาร ทำนา ค้าขาย
มารดา มีอาชีพ : ค้าขาย
บิดาและมารดา สมรสกันเมื่อ : พ.ศ. ๒๔๖๔
พี่น้องร่วมสายโลหิต :
๑. นายผินะ หาญสาริกิจ
๒. นายเสริมเกียรติ์ หาญสาริกิจ
๓. นางสาวสุรัตน์ หาญสาริกิจ
๔. นายสงวน หาญสาริกิจ
๕. นายสุนทร หาญสาริกิจ
เมื่อตอนเป็นเด็กชาย ทวาย หาญสาริกิจ มารดาบอกว่า " มีกรรม " ถ้าร้องไห้ทีไรเป็นต้องชักหน้าเขียวทุกครั้ง มารดาต้องอุ้มจึงจะหายชัก บิดาและมารดาหาที่รักษาอยู่ประมาณ ๓ ปี จึงได้มาพบกับพระอาจารย์ที่มีวาจาสิทธ์รูปหนึ่ง ชื่อ พระอธิการสินฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองเต่า ต.โนนขีเหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี โดยท่านหลวงพ่อสินฯ ตอนนั้นท่านอายุได้ ๗๐ พรรษา ซึ่งท่านเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาประชาชนชาวจังหวัดอุทัยธานี เป็นอย่างมากมารดาได้นำเด็ชาย ทวาย หาญสาริกิจ ไปถวายให้กับหลวงพ่อสินฯ และที่นี่ท่านหลวงพ่อสินฯ จึงได้ตรัสพ้อว่า ชื่อเจ้าทวายนี้เป็น กาลกิณี ควรที่จะเปลี่ยนเสียใหม่ ด้วยเหตุนี้ท่านหลวงพ่อสินฯ จึงได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า " ผินะ " เป็นภาษาบาลี แยกได้เป็นสองพยางค์คือ " ผิ + นะ " คำว่าผิ แปลว่า ดูก่อน และคำว่านะ แปลว่า หามิได้ (หมายถึงคมแห่งหญ้าคา)ท่านหลวงพ่อสินฯ ได้สั่งเด็กชาย ผินะ หาญสาริกิจว่า " ต่อไปมึงอย่าได้ชักอีก พอมึงโตแล้วต้องมาบวชแทนกู " พร้อมกับถ่มน้ำลายใส่หัวแล้วลูบไล้ไปมาอย่างเอ็นดู และได้สั่งเป็นเคล็ดลับอีกว่า " ฝากแม่มันเลี้ยงไว้ก่อน โตแล้วจะเอาไปอยู่ด้วย " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายผินะ หาญสาริกิจ ก็มิได้ชักอีกเลย
เมื่อโตขึ้นพอรู้เดียงสา และพอจำความได้บ้างแล้ว มารดาจึงได้เล่าเรื่องให้ได้ทราบไว้ ด้วยเหตุนี้ เด็กชายผินะ ไม่สนใจในการบวชเลย เป็นเด็กที่กลัวผีมาก ถ้าบ้านไหนมีคนตายก็จะไม่กล้าไป เวลามือขึ้นบันไดบ้านพอถึงขั้นสุดท้ายก็กระโดดข้ามเลย กลัวว่าผีจะดึงขา ไปเที่ยวที่ไหนๆ กันกับเพื่อนๆ ก็ไม่กล้าอยู่ข้างหน้า อยู่ข้างหลังก็ไม่เอา นึกอยู่แต่ในใจว่าเมื่อคนตายแล้วเขาเอาไปไว้ที่วัด เข้าใจเอาว่าผีอยู่ในวัดคงมาก
ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ เมื่ออายุครบบวชบิดาขอให้บวชให้ ๗ วัน เพราะว่าเวลาช่วงนั้น บิดาท่านเป็นไข้หนัก และก็ได้ตายลงในเวลาต่อมา หลังจากที่ทำบุญ ๗ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับบิดาเสร็จแล้วพระมหาอำนวยฯ ได้เป็นธุระในการอุปสมบทให้ ณ วัดหนองเต่า ต.โนนขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี และให้นามว่า " พระภิกษุผินะ นามฉายาว่า มหาปญฺโญ " มีพระมหาอำนายฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูอุดมฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานีเป็นพระอุปัชฌาย์ พออุปสมบทได้เพียง ๕ วัน โยมมารดามาขอร้องให้อยู่ต่ออีก ๒๐ วัน บอกว่า ผมยังสั้นอยู่สึกออกมาแล้วเดี๋ยวจะอายหัวโล้น อยู่มาได้ ๑๑ วัน โยมมารดาของเพื่อนได้ตายอีก ทีนี้ เขามาเจาะจงเอาเฉพาะพระภิษุผินะ มหาปญฺโญ ไปจูงศพให้ได้ จากที่บ้านศพไปยังวัดระยะทางก็ประมาณ ๒ กิโลเมตร พอศพมาถึงวัด เขากลัวว่าจะเป็นโรคกรรมพันธุ์ เพราะเป็นโรคฝีในท้อง หรือที่เรียกว่า วัณโรค สัปเหร่อได้ทำการผ่าท้องศพ และทำความสะอาดพร้อมทั้งสาธิตบรรยาย เพราะโดยสมัยนั้นไม่มียาฉีดป้องกันเหมือนอย่างสมัยนี้ ศพจึงเหม็นมาก เมื่อเวลาจะสวดศพ พระภิกษุผินะฯ ฉันอาหารอยู่ไม่ได้ถึง ๓-๔ วัน พอเวลาค่ำมืดลงก็ไม่กล้าที่จะออกจากกุฏิเลย เวลานอนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ จึงได้ขอลาพระกรรมวาจาจารย์ไปพกที่อื่นสัก ๕ วัน และจะกลับมาลาสิกขาเพศ
จึงได้เดินทางออกจากวัดหนองเต่า ไปพักที่วัดบ้านกลาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุทัยธานี พอไปถึงยังวัดบ้านกลาง ท่านเจ้าอาวาสก็ได้อนุญาตให้อยู่ด้วย ต่อมาอีก ๑ ชั่วโมงก็ได้ยินโยมมาอาราธนาไปสวดมาติกาบังสุกุล ทีนี้พอเอาศพเข้ามาวัด ญาติโยมเขาก็ได้ผ่าศพอีก เหมือนกับวัดที่บวชมา ตอนนี้พระภิกษุผินะ เลวได้ขึ้นไปกราบล่าท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านกลาง และออกจากวัดไปเดี๋ยวนั้นเลย
เมื่อเดินทางมาถึงยังแม่น้ำแควตากแดด เห็นแม่ค้าขายผักกำลังเคาะกระบอกไม้ไผ่เรียกเรือมาให้ช่วยรับข้ามฟากที พระภิกษุผินะ มหาปญฺโญ ได้ลงเรือไปก่นและไปนั่งอยู่หัวเรือ โยมแม่ค้าคนแก่ก็ลงเรือมาอีก บัดนั้น ได้มีแม่ค้าขายผักเช่นกัน แต่เป็นหญิงสาว ได้ลงเรือเป็นคนสุดท้าย และเมื่อเรือได้ออกจากท่าแล้ว ทันใดนั้นไม้คานของหญิงสาวขายผักก็ได้ตกลงไปในน้ำ เธอได้ร้องอุทานว่า " อุ้ย .... ควยพระตกน้ำ " พระภิกษุผินะฯ ได้บอกว่า " หนู....เก็บให้หลวงพี่ด้วย หลวงพี่มีอยู่อันเดียวเอาไว้เยี่ยว " เมื่อเรือมาถึงฝั่ง จึงได้อายแก่หญิงสาวคนนั้นมากรีบเดินจากไปโดยเร็ว หญิงสาวขายผักคนนั้นก็ได้เดินตามมาติดๆ และร้องถามว่า " หลวงพี่จะไปไหน " พระภิกษุผินะฯ ได้ตอบว่า " ไม่รู้จะไปที่ไหน เพราะหนีผีมา " หญิงสาวคนนั้นออกปากชวนว่า " หลวงพี่ไปอยู่วัดหนูมั้ย " มีหลวงตาอยู่วัดองค์เดียว และมีเด็กคนหนึ่งชื่อ " โต้ง "หญิงสาวคนนั้นได้พาไปพักที่วัดเกาเทโพ อ.มโนรมณ์ จ.ชัยนาท วัดนี้ดีมากๆ มีพระภิกษุอยู่ในอารามเพียง ๑ รูป เท่านั้น จึงเล่าความในใจให้พระหลวงตาที่วัดนั้นฟังว่า " กลัวผีมาก " อยู่กับพระหลวงตาสัก ๕ วัน แล้วจะกลับไปลาสิกขาเพศ เพราะยังห่วงว่ามีน้องๆ อีกหลายคน โยมมารดาท่านไม่ยอมให้บวชนาน (โยมมารดาเป็นคนมีเชื้อสายจีน) โยมมารดาบอกว่า " คนอื่นๆ ที่เขาไม่บวชก็ดีๆ มีถมไป เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ "
ท่านพระหลวงตาคำ (ทราบชื่อเมื่อภายหลัง) ได้บอกว่า การกลัวผีนั้นไม่ถูกต้อง ตับ ไต ไส้ พุง ฯลฯ ที่ท่านดูและเห็นมานั้น ก็มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้นทุกคน แล้วพระหลวงตาคำก็ได้สอนในสติปัฏฐาน ๔ และให้เรียนภาษาขอมด้วย เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้น พระภิกษุผินะฯ ก็ได้ลองมาปฏิบัติดู จึงได้รู้และเข้าใจดีว่า " คน " กับ " ผี " ก็คืออันเดียวกัน คือให้น้อมเป็น " เอโก้ - ธัมโม " แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสิ่งที่ได้รู้เข้าไปนั้น คือ ปฐมฌาณ ก็นึกรังเกียจตัวเองขึ้นมา
เวลาล่วงไป ๓๐ วัน ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน สมาทานถวายตนเป็นผู้ถือเพศพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต ทีนี้นึกขึ้นได้ว่า โยมมารดาคงคอยอยู่ จึงได้กราบลาพระหลวงตาคำ กลับไปบ้านเพื่อพบวกับโยมมารดา พอไปถึงบ้าน พบกับโยมมารดาและได้เรียนท่านให้ทราบว่าจะไม่ลาสิกขาบทเพศอย่างเด็ดขาด โยมมารดาก็ต่อว่า จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว และได้แต่ร้องไห้ พระภิกษุผินะได้ลาโยมมารดามาอยู่ที่วัดหนองเต่า ต.โนนขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี เพื่อที่จะได้เรียนพระปริยัติธรรม จะได้เอาใบประกาศนียบัตรนักธรรมตรี เพื่อนำไปเป็นหลักฐานแสดงต่อทาง สัสดีอำเภอ กรณี ยกเว้นการเกณฑ์ทหาร ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปที่วัดทุ่งแก้ว เพื่อไปพบกับเจ้าคุณ เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นเจ้าคุณลุง เพื่อปรึกษาและรับข้อชี้แนะในการที่จะสอบนักธรรมตรีผ่านให้ได้โดยไม่ต้องการที่จะเป็นทหาร
ต่อมาได้สอบนักธรรมตรีได้ ก็ได้โล่งใจ จึงได้เอาประกาศนียบัตรนักธรรมตรีไปยื่นต่อสัสดีอำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานี ท่านสัสดีอำเภอทัพทัน ได้บอกกับพระภิกษุผินะฯ ว่า พระคุณเจ้าจะต้องบวชไปอีก ๑๐ พรรษา จึงจะพ้นการเกณฑ์ทหารได้ พระภิกษุผินะฯ จึงได้ยืนยันว่า ' ให้ถึง ๒๐ พรรษา ' เลยปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ไปกราบเรียนต่อท่านเจ้าคุณลุง เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เพื่อขออนุญาตเดินทางจาริกฯ เจ้าคุณลุง ก็ได้ออกหนังสือเดินทางจากริกฯ ให้ ตอนนั้นตั้งใจที่จะมาศึกษาค้นคว้าในพระไตรปิฎกกับท่านพระหลวงพ่อเภาฯ และพระหลวงพ่อคงฯ และเลื่อมสนในปฏิปทาของท่านพระหลวงพ่อเภาฯ ประกอบทั้งได้รับคำบอกเล่าว่า ท่านพระหลวงพ่อเภาฯ ได้สร้างเรือสำเภาให้เป็นอนุสรณ์สำหรับโยมมารดาของท่าน (ที่ฝันเห็น) ไว้ ณ บนยอดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี จึงได้เดินทางจากจ.อุทัยธานี ผ่านมายัง อ.โคกสำโรง มุ่งตรงมายัง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี แล้วตั้งใจตรงไปยังเขาวงกต ขณะมาถึงยังทางเข้าเขาวงกต ได้พักอยู่ที่หน้าบ้านของโยมสุข ซึ่งบ้านของแกอยู่บริเวณทางที่เข้าไปยังเขาวงกตแห่งนั้น (การเดินทางจากจ.อุทัยธานีมาถึงที่บริเวณทางขึ้นเขาวงกตแห่งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น ๕ วัน ๖ คืน) จึงได้พบกับโยมสุข และได้สนทนากับโยมสุขมาตอนหนึ่ง โยมสุขได้พูดถึง มีพระอาจารย์รูปหนึ่งคงมีคาถาดี สามารถคุยกับมดรู้เรื่อง และก็ได้เสกให้มดหายไปหมดโดยโยมสุขบอกว่าอยากจะเรียนคาถาหายตัวได้ เหมือนกันกับพระอาจารย์รูปนั้นที่เสกให้มดหายไปหมด (จะได้หายตัวและเข้าไปขโมยเงินในธนาคาร ตามความคิดของโยมสุข) พระภิกษุผินะฯ ก็ได้ถามโยมสุขว่า พระคุณท่านพระอาจารย์รูปนั้นมีนามว่ากระไร โยมสุขก็ได้เล่าให้ฟังว่าเช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์เสาร์ฯ พระมหาบัย ญาณสมปนฺโน ได้ออกบินฑบาต เสร็จแล้วเดินทางมายังหน้าบ้านของโยมสุข และโยมสุขได้ใส่บาตรกับพระอาจารย์ทั้งสามรูปด้วย แต่แกก็ได้ดื่มเหล้ามาบ้างในวันนั้น พระอาจารย์ทั้งสามรูปได้เลือกเอาลานดินว่างๆ ตรงเยื้องหน้าบ้านของโยมสุขเป็นที่นั่งฉันอาหารบิณฑบาต และพระอาจารย์มั่นฯ ก็ได้ใช้ให้พระมหาบัวฯ ไปตามโยมสุขให้ไปพบที่นั่นถึง ๓ หน หนที่ ๓ โยมสุขได้บ่นว่า ' พระรูปนี้หิวเหล้ารึไง ' จะขอเหล้าเรากินหรือ จึงได้ตามอยู่ได้ บ่นเสร็จ โยมสุขก็ได้เดินไปที่ลานดินบริเวณที่ท่านพระอาจารย์ทั้งสามนั่งอยู่ เมื่อไปถึงที่นั่น โยมสุขก็ได้เห็นมดง่ามขึ้นที่สำรับกับข้าวของพระอาจารย์ทั้งสาม โยมสุขก็เพียงแต่มองดู เห็นและได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นฯ พูดกับมดว่า ' ไป ไป สูเจ้าจงฮีบไป่ เดี๋ยวคนเขาสิทำฮ้ายเอา ' เสร็จแล้วมดก็ได้หายไปหมด ' โยมสุขก็ได้แต่คิดว่า ' บ๊ะ พระรูปนี้คงไม่ใช่พระธรรมดาเสียแล้ว 'พระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยถามโยมสุขขึ้นว่า ' เฒ่าสุข เจ้ากินเหล้าเหมิดมื่อละทอได๋ ' โยมสุขตอบว่า ' กินวันละ ๒ บาท กับแกล้มด้วย ' (สมัยนั้นเหล้าขวดละ ๑ สลึง) ทีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้บอกกับโยมสุขว่า จะช่วยให้โยมสุขสบายมากกว่านี้และเร็วขึ้น โดยจะให้เงินแก่โยมสุขไว้ซื้อเหล้ากินวันละ ๒ บาทเอาไหม โดยจะฝากเงินเอาไว้ให้ แต่มีข้อแม้ว่า เฒ่าสุขต้องถือศีล ๓ ข้อนี้ให้ได้เสียก่อน ศีล ๓ ข้อที่ว่านี้ต้องทำให้ได้ก่อนคือ
ข้อ ๑ ไม่ต้องทำบุญใส่บาตร และห้ามเข้าวัดฟังธรรม
ข้อ ๒ ให้ด่าโคตรพ่อโคตรแม่พระ (ด่าค่อยๆ ก็ได้ถ้าพระได้ยินเดี๋ยวจะฆ่าเอา)
ข้อ ๓ ให้กินเหล้าให้หมดวันละ ๒ บาท
โยมสุขบ่น โอ๊ย ไม่เอาแล้ว แค่กินเหล้าก็ตกนรกหมกไหม้อยู่แล้ว แถมไม่ให้เข้าวัดฟังธรรม ให้ด่าพระอีก มันนรกชัดๆ นั่นเลว ไม่เอาดอก ไม่เอาทั้งนั้น ทั้งเหล้าทั้งยาทั้งเงินหลวงพ่อไม่เอาดอก เมื่อโยมสุขเปล่งอุทานออกมาเช่นนั้น พระอาจารย์มั่น จึงได้ให้โยมสุขรับศีล ๕ และสมทานศีล ๕ แต่วันนั้น ครั้งต่อมา หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ พระอาจารย์เสาร์ และพระมหาบัวฯ ได้บิณฑบาตเสร็จแล้ว ก็ได้กลับไปนั่งบริเวณหน้าถ้ำตรงทางขึ้นเขาวงกต วันนั้นโยมสุขได้เอามันเพิ่ม (มันเสาร์) ที่ต้มแล้ว ไปถวายให้กับพระอาจารย์ทั้งสามรูป เมื่อประเคนเสร็จแล้ว พระอาจารย์มั่นฯ ได้เลื่อนจานมันเพิ่มไปทางพระมหาบัวฯ และเอ่ยว่า “ ถ้ามีน้ำตาลจิ้มคงสิดีน๊อ “ เสร็จแล้วท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้สั่งให้โยมสุขไปหยิบเอาน้ำตาลที่อยู่ในปิ่นโต ที่แขวนอยู่บนไม้พระองค์ มีอยู่เถาหนึ่งซึ่งมี ๕ ชั้น โยมสุขได้เดินไปที่ไม้พระองค์ที่มีปิ่นโตแขวนอยู่ได้หยิบปิ่นโตขึ้นดู รู้สึกว่าเบาๆ และก็ได้เปิดดู ก็ไม่เห็นมีน้ำตาลเลย จึงได้กลับมาเรียนท่านอาจารย์มั่นฯ ว่า “ ไม่มีน้ำตาลในปิ่นโตในเถาเลยสักชั้นเดียว “ ขอรับ ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นว่า “ บ๊ะ ของมีอยู่เป็นหยังว่าบ่มี เฒ่าสุข “ ไป๊ ท่านพระอาจารย์มั่นฯ หันไปสั่งทางพระมหาบัวฯ “ มหาท่านไป๋เอ่ามา “ พระมหาบัวฯ ได้ลุกขึ้นเดินไปหยิบปิ่นโตที่แขวนอยู่ ได้หยิบปิ่นโตขึ้นและยกออกมาจากเถา ๑ ชั้น ก็เห็นมีน้ำตาลทรายเต็มชั้นไปหมด โยมสุขเห็นเช่นนั้นก็นึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงได้รำพึงแต่ในใจว่า “ อี๊ ของไม่มีกลับเป็นมี “เมื่อท่านพระมหาบัวฯ นั่งลงแล้ว ท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปก็ได้ฉันอาหารบิณฑบาตจนเป็นที่เรียบร้อย ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยกับโยมสุขขึ้นว่า “ มื่อหนี่ ข่อยสิให้เจ้าฮับศีล ๘ เมื่อเจ้าฮับแล้ว ต้องเข่าไปในถ้ำ ให่นั่งซือๆ หายใจเข้าออก จ่มว่า พุทโธ พุทโธ เทิงมื่อเน้อ “ โยมสุขได้ตรึก นึกอยู่ในเรื่องที่ว่า “ ของไม่มีแต่กลับเป็นมีขึ้นมาได้ “ ก็เลยเกิดปิติ จึงรับคำของพระอาจารย์มั่นฯ ที่จะเข้าไปปฏิบัติในถ้ำ และนั่งอยู่ ณ ที่อันควรในความมืด ได้ภาวนาตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ สั่ง ประมาณสักพักใหญ่ ได้เกิดแสงสว่างขึ้นในดวงตา และโยมสุขได้เห็นเป็นอ่างน้ำใบหนึ่ง มีเลือดเต็มไปหมด สีเลือดก็ค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำล้างเนื้อ และน้ำนั้นก็ค่อยๆ วนจนเล็กลงเท่าไข่ ทันใดนั้น ก็เห็นเป็นเด็กหญิงอยู่ในไข่ สักประเดี๋ยวก็ได้โตขึ้นเป็นสาว อีกพักเดียวต่อมาก็กลายเป็นเมียโยมสุขนั่นเอง อยู่ไม่นานนักก็กลายเป็นคนแก่ชราและก็ตายไป ทีนี้ก็มีขึ้นอืด มีกลิ่นเหม็นอบอวลไปหมด เหม็นจนโยมสุขทนไม่ไหว และก็ได้ออกมาจากถ้ำ กราบขออนุญาตจากพระอาจารย์มั่นฯ ว่า ขอให้แกได้บวชในพระพุทธศาสนาจะได้ไหม พระอาจารย์มั่นฯ บอกว่า “ บ่ได้ดอก ถ้าบวชเดี๋ยวตาย ได้แค่ถือศีล ๘ ไปก่ะแล้วกั๋น ตั้งแต่นั้นโยมสุขก็ได้ถือศีล ๘ ตลอดชีวิต และปฏิบัระภิกษุผินะฯ ได้สอบถามโยมสุขว่า ท่านพระอาจารย์ทั้งสามนั้นอยู่ที่ไหน โยมสุขบอกว่า ท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปได้เดินทางกลับไปยังสำนักแล้ว อยู่ทางจังหวัดสกลนครโน่นแหละ ดังนั้นพระภิกษุผินะฯ จึงได้เดินทางต่อมายังวัดถ้ำตะโก เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกกับท่านพระหลวงพ่อเภาฯ และท่านพระหลวงพ่อคงฯ แต่ท่านพระอาจารย์ทั้งสองรูปได้มรภาพเสียแล้ว คงเหลือแต่พระหลวงพ่ออุ่มฯ กับหลวงพ่อดำฯ และได้ศึกษาพระไตรปิฎกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ อยู่ที่วัดถ้ำตะโก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรีแห่งนี้
ขณะที่ท่านได้ศึกษาพระไตรปิฎกอยู่นั้น สงครามมหาเอเชียบูรพาก็ได้เริ่มขึ้น (สงครามญี่ปุ่น) กำลังมีศึกสงครามไม่ทราบว่าใครเอาข่าวไปบอกโยมมารดาว่า “ พวกทหารญี่ปุ่นเอาพระเครื่องไปต้มให้ทหารเค้ากิน “ โยมมารดาเข้าใจผิดคิดว่าพวกญี่ปุ่นจับเอาพระไปต้มกิน โยมมารดาถึงกับคุ้มคลั่งคุมสติไม่อยู่ สงสารพระลูกชาย และคิดว่าเขาจะจับพระลูกชายไป จนถึงกับต้องถูกล่ามโซ่ไว้ทีเดียว ทีนี้พระภิกษุผินะฯ ได้เดินทางกลับไปที่บ้านเกิด และพักที่วัดเกาะเทโพ อ.มโนรมณ์ จ.ชัยนาทพระภิกษุผินะฯ ได้เดินทางไปยังวัดหนองเต่าจ.อุทัยธานี และได้ไปปรึกษากับน้องๆ ทั้ง ๔ คนที่อยู่บ้านว่า เพื่อที่จะไม่ให้ยึดติดในสมบัติ อันที่จะเป็นห่วงกังวลเสียเปล่าๆ ก็จะให้ขายสมบัติของโยมบิดา และโยมมารดา ทั้งหมดเสีย และจะได้เอาเงินไปรักษาพยาบาลโยมมารดา จึงได้พาน้องๆ ทั้ง ๔ คนไปบวชที่วัดหนองเต่า อ.เมือง จ.อุทัยธานีเมื่อบวชน้องทั้ง ๔ คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คืนที่ ๒ บวชเป็นพระภิกษุ, คนที่ ๓ บวชเป็นชี, คนที่ ๔ บวชเป็นสามเณร และคนที่ ๕ บวชเป็นตาปะขาว วันรุ่งขึ้นก็ให้โยมมารดาขึ้นเกวียนไปที่แม่น้ำแควตากแดดซึ่งอยู่ห่างจากวัดหนองเต่าไป ๓๐ กิโลเมตร ดังนั้นทั้ง ๖ ชีวิตก็ได้จ้างเรือล่องมาตามแม้น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. จนกระทั้งถึงเวลา ๐๙.๐๐ น.ของวันรุ่งขึ้น จึงได้มาถึงยังจ.สิงห์บุรีขณะนั้น ได้ปลดโซ่ที่ล่ามโยมมารดาออก แล้วได้ซื้อเข่งไม้ไผ่ที่เขาใช้สำหรับใส่พลู เอาใบตองกล้วยรองก้นเข่ง แล้วพาโยมมารดาเดินทางต่อไปยังเขาสมอคอน ถึงวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรี ขณะนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่งชำนาญและรู้จักสมุนไพรประกอบยา และมีฐานะเป็นน้องของท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ชื่อพระอาจารย์ผ่องฯ เป็นภาระดูแลรักษาโยมมารดาให้อยู่ประมาณ ๑๕ วัน อาการป่วยของโยมมารดาก็หายเป็นปกติ แต่เวรกรรมของท่านยังไม่หมด ก็ได้มีโรคแทรกซ้อนขึ้นอีก คือ มีฝีขึ้นที่บริเวณขากรรไกรเข้าใจว่าเป็นฝีธรรมดา สุดท้ายฝีก็ได้แตกออก มีเลือดไหลออกมาก พร้อมกับกระดูกหลุดออกมาจากขากรรไกรยาวประมาณ ๑ นิ้ว เมื่อเห็นอาการป่วยของโยมมารดา ก็คิดว่าไหนๆ โยมมารดาคงไม่รอดแน่ ในที่สุดจึงได้เรียกน้องๆ ทั้ง ๔ คนมาเพื่อปรึกษาว่า เอาปัจจัยที่ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับโยมมารดาเพื่อถวายวัด อุทิศส่วนกุศลไปให้กับโยมบิดาที่เสียชีวิตไปก่อน น้องๆ ทั้งหมดก็ไม่ขัดข้อง ได้อนุโมทนา แต่โยมมารดาค้านว่า “ ถ้าถวายวัดหมดแล้วจะเอาอะไรใช้กัน “ บรรดาพวกลูกๆ ก็ตอบไปว่า สมบัติที่โยมบิดา และโยมมารดาให้มานั้นก็ใช้ไม่หมดแล้ว (ความหมายก็คือ ร่างกายที่สมบูรณ์)จากนั้นจึงได้เอาปัจจัยทั้งหมดใส่มือโยมมารดา ให้อธิษฐานเป็นมหากุศล แล้วก็ได้นิมนต์ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก มารับเอาปัจจัยดังกล่าว ท่านสมภารก็ได้จัดการเอาปัจจัยที่ได้รับถวายนั้น ไปซื้อนาเข้าเป็นสมบัติของสงฆ์ อีกทีหนึ่ง ตอนนั้นราคาไร่ละ ๓๐๐ บาท ต่อมาไม่นานโยมมารดาก็ได้เสียชีวิตลง จึงได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาที่ล่วงลับไป หลังจากทำบุญ ๗ วันอุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาแล้ว ก็ได้วิตกวิจารณ์ดูว่าโยมมารดาที่ตายไปแล้วนี้ไปอยู่ ณ ที่ใด ทำบุญกรวดน้ำไปให้จะได้รับหรือเปล่า จึงได้ออกติดตามค้นหาโยมมารดา แต่นั้นเป็นต้นมา และได้เดินทางออกจากวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรีมาแต่เพียงลำพังผู้เดียว เที่ยวเสาะแสวงหาโยมมารดา จนกระทั่งมาถึงย้ำถ้ำประทุน ที่บ้านหนามจั้น จ.ลพบุรี จึงได้พบกับพระหลวงตาอ่อนฯ (ท่านเป็นชนชาติเขมร) ก็ได้เข้าไปกราบขอโอกาส ขออนุญาต โดยก้มลงกราบเอามือลูบเท้าท่าน แล้วน้อมขึ้นใส่ศรีษะเหนือเกล้า และได้กราบเรียนถามท่านพระหลวงตาอ่อนฯ ว่าพระภิกษุผินะถามว่า หลวงตาครับ ผมอยากทราบว่า อะไรเป็นผมครับพระหลวงตาอ่อนฯ ตอบว่า ไม่รู้สิ ท่านถามแบบนี้ไม่รู้หรอก มันเป็นปรมัตถ์ ไม่ได้เรียนมาและพระหลวงตาอ่อนฯ ก็ย้อนถามว่า แล้วท่านคิดว่าท่านเป็นใครล่ะเมื่อสนทนากับพระหลวงตาอ่อนฯ ได้พอสมควร จึงขออนุญาต และขอโอกาสกราบลาท่านเดินทางต่อไปยังที่เขาพระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี จึงได้พบกับพระหลวงพ่ออ่อนฯ (เป็นคนไทย) มากราบไหว้พระพุทธบาท จึงได้เข้าไปกราบขออนุญาตกราบลงแทบเท้าเอามือลูบที่เท้าท่าน แล้วน้อมขึ้นใส่กระหม่อม และได้เอ่ยถามท่านว่า
พระภิกษุผินะฯ ถามว่า หลวงพ่อครับช่วยดูหน่อยว่าอะไรเป็นของผม
พระหลวงพ่ออ่อนฯ ตอบว่า แล้วใครเป็นคนถามผมล่ะพระภิกษุผินะฯ ตอบว่า ผมเองพระหลวงพ่ออ่อนฯ จึงตอบต่อว่า คนที่ถามผมเป็นท่าน ฯลฯพระภิกษุผินะฯ ได้พักอาศัยอยู่กับพระหลวงพ่ออ่อนฯ ที่พระพุทธบาทเป็นเวลา ๗-๘ วัน จึงกราบขออนุญาต ขอโอกาสเดินทางต่อมายังเขานกพิลาบ จ.สระบุรี เดินทางมาตามหาโยมมารดามาเรื่อยๆ ว่า ขณะนี้อยู่ที่ใด ผ่านมาจนวถึงเขานกพิราบ อ.เมือง จ.สระบุรี ตั้งใจบำเพ็บเพียรเพื่อที่จะหาโยมมารดาให้พบ ระหว่างบริเวณเขานกพิราบ มีบ้านคนแค่ ๔ หลังคาเรือนเท่านั้น ได้ตั้งใจค้นหามารดา และค้นหาตัวของพระภิกษุผินะฯ ว่าอยู่ที่ไหน มีหรือไม่ เป็นประการใด อยู่ที่เขานกพิราบนี้เป็นเวลา ๑๘ วัน และได้พบกับเหตุการณ์ที่แปลกอันหนึ่ง คือได้พบกับอุคคหนิมิตเข้าโดยบังเอิญ คือ
วันแรก หลังจากที่ได้ทำความเพียรค้นหาโยมมารดาแล้ว ได้พบผู้หญิงสาวคนหนึ่งเดินมา และจูงเด็กมาด้วย จึงได้เอ่ยถามว่า
พระภิกษุผินะฯ ถามว่า หนูชื่ออะไร
หญิงสอบ ตอบว่า ชื่อยี่สุ่น
พระภิกษุผินะ ฯ ถามว่า บ้านหนูอยู่ที่ไหน หญิงสาว ตอบว่า อยู่ทางโน้น
(เธอได้ชี้นิ้วมือไปทางด้านหน้า แต่ปรากฏว่า ไม่เห็นมีบ้านคนเลย เธอได้นำอาหารมาใส่บาตรด้วย พร้อมกับจูงมือเด็กเดินจากไป และทำท่าทำทางคล้ายกับจะฟ้อนรำ และร้อว่า จะอื้อ....จะอื้อ.....จะอื่อ ดูลักษณะและท่าทางแล้ว ยั่วยวนชวนพิศวาสมาก ขนาดทำให้อสุจิเคลื่อนพระภิกษุผินะฯ จึงได้เดินทางตัดผ่านป่าออกมายังเขาคอก อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อพ้นป่าออกมาได้ ก็ได้พบหมู่บ้านคน จึงได้ถามเขาว่า ในป่าที่ผ่านมานั้น มีบ้านคนอาศัยอยู่บ้างไหม ชาวบ้านบอกว่าไม่มีบ้านคนเลย จึงได้หายสงสัย แล้วก็เชื่อว่าเจอ “ อุคคหนิมิต “ เล่นงานเข้าแล้ว ดังนั้นจึงได้มุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังถ้ำวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรี เพื่อเข้าอยู่ “ ปริวาสกรรม “ต่อไปเมื่อเข้าอยู่ ปริวาสกรรม ครบ ๑๕ วันแล้ว ก็ได้พาบรรดาน้องๆ เดินทางออกจากวัดถ้ำตะโก มุ่งหน้าไปยังวัดเกาะเทโพ จ.ชัยนาท และได้พักอยู่ที่นี้เป็นเวลา ๑ พรรษา เพื่อรอให้พระภิกษุเสริมเกียรติ์ ได้สอบนักธรรมตรี และทำเรื่องยกเว้นทหาร เมื่อเสร็จธุระทุกๆ อย่างของพระภิกษุสมเกียรติ์ แล้วก็พากันออกเดินทางไปยังวัดหมากแข้ง จ.อุทัยธานี เพื่อไปพบกับพระอาจารย์แสวงฯ เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม อยู่ได้ไม่นานก็ออกจากวัดหมากแข้ง เดินธุดงค์ต่อมาถึงที่พระพุทธบาท จ.สระบุรี และก็ได้เดินทางไปที่เขานกพิราบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้พบกับอคคหนิมิตที่ชื่อ ยี่สุ่น อีกเลย จึงได้เดินทางต่อมาที่บ้านหินซ้อน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆ จนมาโผล่ที่บ้านปะหรุ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา (เดินทางจากเขานกพิราบ มาจนถึงบ้านปะหรุ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ใช้เวลาไปทั้งสิ้น ๒๑ วัน) และก็ได้เดินทางต่อไปจนถึง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้เข้าไปที่วัดป่าสุทธาวาส บ้านหนองผือในนาอ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เรียนธรรมและปฏิบัติธรรมอยู่กับพระอาจารย์มั่นฯ เป็นเวลา ๑ เดือน ในระหว่างที่ได้รับใช้และปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่นฯ อยู่นั้น ท่านพระอาจารย์มั่นฯ จะสอนธรรมเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. เป็นอย่างน้อย พระภิกษุผินะฯ ได้นวดพระอาจารย์มั่นฯ เมื่อนวดไปท่านพระอาจารย์มั่นฯ ก็ได้ผายลมออกมา และได้เอ่ยต่อทางพระภิกษุผินะฯ ว่า “ เหม็น บ่ “
พระภิกษุผินะฯ ตอบว่า ไม่เหม็น ขอรับ
พระอาจารย์มั่นฯ ตอบว่า บ๊ะ ตดหน่ะ ไผสิบ่เหม็น บีมีดอกมาแกล้งย่อมกั๋นนี่ ในขณะที่นังพังบรรยายธรรมอยู่นั้น ได้มีพระภิกษุร่วมฟังบรรยายด้วยประมาณ ๒๐ รูป รวมทั้งพระอาจารย์บุตรฯ ด้วย เมื่อขณะที่ได้ปฏิบัติพระอาจารย์มั่นฯ อยู่นั้น ก็ได้ฟังนิทานธรรม คดีอุปมาอุปมัยด้วยกันหลายเรื่องคือ
เรื่อง ลิงติดตัง
พระอาจารย์มั่นฯ ได้สนทนาธรรมกับรรดาลูกศิษย์อยู่นั้น พระอาจารย์ก็ได้ชี้นิ้วมือมาทางพระภิกษุผินะฯ พร้อมกับกล้าวขึ้นว่า สมัยข่อย ทอเจ้าหนี่ ข่อย พอลิงโตนึงมานั่งผิงแดดฮ่านี่ มีพ่อออกผู้นึงถือพร้าโต้มานำ พ่อลิงเข่าก่ะอยากสิได้ พ่ออกผู้นั้น เกิดความคึกขึ่นจังว่าคว้าพร้าโต้เข่าไป่ในป่า ไปตัดเอาไม้ไผ่มาเฮ็ดเป็นกระบั้ง (กระบั้งสำหรับใส่น้ำ) ตัดมาได้ ๑ กระบั้ง แล้วฮ่าหนี่ ก่ะไปตัดเอายางคุย เขาเอิ้นย่าน หู้จักบ่ ย่านน่ะ แม่นว่า เฮาตัดเทิงกกน้ำมันบ่ออกดอก ต้องตัดทางปลายแล้วยกขึ้น น้ำไหล ซ่า ใส่กระบั้งนำมา ๑ กระบั้ง แล้วมาผสมกับน้ำมันยางใส ใส่ขี่กุ เอาไฟดังเอาใส่คุเคล้าให้เหนียวเป็น ตัง (สำหรับดักสัตว์) เสร็จแล้วพ่ออ่อนผู้นั้น ก่ะเอ่า ตังไป่ยองเทิงตอไฟไหม้ฮั่น สวยมาแดดก่ะส่อง เจ้าล้องน้อยก่ะได้ไต๋ลงมาจากกกไม้ใหญ่ มานั่งผิงแดดเทิงต่อไม้ไฟไหม้กลางแดดตามเคย เมื่อปีนขึ๋ไป่เทิงต่อไม้แล้ว เจ้งลิงมันก่ะไปนั่งถืก ตัง เจ้าลิงมันก่ะเอามือไปบาย ตัง ผัดดิดมือขึ๋นมานำเข้าลิง่ะเลยแกะเอามาดมเล่น ตัง ก่ะไป่ติดมือ ติดแขน เข้าลิงมั้นก่ะป้ายไป่ทั่ว ป้ายไป่ก่ะติดขน ติดขา ติดโตทั่วไปเหมิด พ่ออกผู้นั้นเห็นยังสั้น จังย่างซือเข่าไป่สิจับเจ้าลิงฮั่น เจ้าลิงมันก่ะเติ๊กใจ ฟ่าวกระโดดหนีลงไป่จากต่อไม้ ตกดิน อานั่น ตัง ที่ติดโตเจ้าลิงก่ะได้ไป่ติดเอ่าขี่ดิน กิงไม้ ใบหญ้า เข่าอีกจำนอีหลักอีเหลื่อ แทบสิขึ่นต้นยางใหญ่บ่ไหว แต่เจ้าลิงมันก่ะปีนขึ่นไป่ได้ มันก่ะไป่มองโตมันเองว่า เป็นหยังจั่งใหญ่ขึ้น แต่กี้ โตหน่อยนึง เดี๋ยวนี้ โตใหญ่ขึ่นมาทอ (พระอาจารย์มั่นฯ ทำท่ากอบมือให้ดู) หนี่หากเจ้าลิงมันอยู่เทิงกกไม้ใหญ่ มองเบิ่งโตมันแล้วก่ะแกะกิ่งไม้แด ใบไม้แด ที่ติดโตมันขึ่นไป่ออกถิ่ม ทีละชิ้นสองชิ้น พ่อออกผู้นั้น คิดเสียดายว่าเกือบสิจับเจ้าลิงได้อยู่แล้ว จั่งได้ถือพร้าโต้ย่างเข่าป่าใหญ่อีก ครานี่ ก่ะได้ไป่ตัดเอ่าไม้ไผ่มาเฮ็ดกระบั้งอีก ๒ กระบั้ง ตัดเอ่าย่านมานำ ๒ กระบั้ง เอ่ามาเฮ็ดเป็น ตัง อีก เช้าขึ่นมาเมื่อใหม่ ก่ะได้เอ่า ตัง ที่เกรียมไว้ไป่อีก ๒ กระบั้ง ไปยองเทิงต่อไม้ไฟไหม้กลางแจ้งคื่อเก่า แหล่วยามมื่อสวยของมื่อฮั่น เจ้าลิงก่ะได้ลงมาจากต้นยางใหญ่ แล้วไป่ผิงแดดบ่อนเก่า เมื่อเจ้าลิง ขึ่นไป่เทิงต่อไม้แล้ว ก่ะได้ไปนั่งทับ ตัง เข้าอีกเจ้าลิงก่ะหยิบ ตัง ขึ่นมาเบิ่งอีกก่ะได้แกะ ตัง ออกเล่น ฮ่านี่ ตัง ก่ะเลยติดมือ ป้ายไป่ก่ะติดขน ติดแขน ติดโต ตัวหัว ติดอีก ต่อไป๋เหมิด พ่อออกเห็นจั่งสั้น ก่ะฟ่าวสิเข่าไปจับ เจ้าลิงก่ะกระโจนลงจากต่อไม้ สิหนีขึ่นต้นไม้ใหญ่ เลยตกไปข่างล่าง พาเอ่า ตัง ที่ติดโตไปคลุกเอ่าก้อนขี่ดินกิ่งไม้ ใบหญ้า ก้อนกวด ดินซาย แทบสิไต่ขึ่นต้นไม้บ่ไหว พ่อออกก่ะเกือบสิจับเจ้าลิงได้อีกแล้ว เจ้าลิงก่ะหนีไป่พ่นขึ้นต้นรไม้ใหญ่ไป่ได้อีก
เจ้าลิงมันก่ะมาเบิ่งโตมันเองว่า แต่กี้แต่ก่อน มันโตทอกอบมื่อหนี่เดี๋ยวนี้ มันหยั่งจั่งใหญ่ออก ทอคืบทอศอก มันมองไปมองมา นึกว่าแม่นมันบ่น๊อ มองไป่ก่ะแกะกิ่งไม้ที่ติดไปถิ่มแกะใบไม่ออกถิ่ม เอ่าขึ้นดินออกถิ่มแด มันก่ะง่วนอยู่ผู้เดียว มันฮั่นหนะ ฮาหนี่ เจ้าหู้บ่ มื่อแฮก “ ตัง “ นึ่งกระบั้ง มื่อสอง “ สองกระบั้ง ฮวมเป๋นทอได๋ “ พระภิกษุผินะฯ ตอบว่า รวมเป็น ๓ กระทั้งครับ พระอาจารย์มั่นฯ เอ้อ แม่นๆๆๆ ฮาหนี่ พ่อออกผู้นั่นคึดเสียดายหล๊ายหลายแต่หากบ่ะละความตั้งใจสิจับเจ้าลิงให้ได้ จั๊กถือพร้าโต้ ย่างเข่าไป่ในป่าอีก เทือนี่ ตัดไม้ไผ่เฮ้ดกระบั้งฮอด ๓ กระบั้ง มาเฮ็ดเป็น ตัง เซ้ามาก่ะเอา ตัง ไป่ยองเทิงต่อไปไม้อีกคื่อเก่า เจ้าลิงก่ะลงมาผิงแดดบอนเก่าอีก เจ้าลิงมันก่ะได้ไป่ติด ตัง เข่าอีกฮ่านี่ถือ ๓ กระบั้งโลด เอ้อฮ่าหนี่ ตัง มันก่ะติดพันเจ้าลิงทั่วไป่เหมิด ไป่ติดฮอดหัว ฮอดโต ฮอดแขน ฮอดขา ฮอดหาง ก่ะดิ้ก ตกลงข่างล่าง ตัง ที่มันติดโตเจ้าลิง ก่ะได้ไป่ติดเอาก้อนกวด ก้อนขี่หิน กิ่งไม้ ใบหญ้า ดินซาย เข่าไป่อีก โตเจ้าลิงมันก่ะใหญ่ขึ่น ๆๆ มันโตทอผี้ (ท่านพระอาจารย์กางแขนออกสองข้าง) ฮาหนี่ มันบ่แม่นลิงแหล่ว มันควยเด้ แล้วไผสิซ่อยมันได้ เสือมาเสือก่ะสิกิ่น งูมางูก่ะสิกิ่น ไผซ่อยมันได้ อย่าเข่าไปใกล้มันเด้ มันสิขบเอา เฮ็ดจังได๋สิซ่อยมันได้ ต้องเอ่าไฟดังมัน จังสิซ่อยมิได้ พระภิกษุผินะฯ ถามว่า แล้วมันไม่ตายหรือขอรับ พระอาจารย์มั่นฯ ตอบว่า บ่ต่ายดอก พระภิกษุผินะฯ ถามต่อว่า เป็นไรถึงไม่ตาย พระอาจารย์มั่นฯ ตอบว่า ไฟที่ดั่งมันบ่แม่นไฟธรรรมดาซือๆ เด้ เป่นไฟพุทธอัคคิ ธัมมอัคคิ สังฆอัคคิ ๓ กองสุมใส่ ตัง ให่วอดไป่เหมิดเลยแหล่วฮาหนี่เจ้าลิงมันก่ะไต่ขึ่นเทิงต้นไม้ใหญ่ได้ซำบาย ทอนั่นดัว
ทีนี้เรื่องตอไม้ที่อยู่กลางแดดนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ท่านให้เขียนเป็นตัวหนังสือดูว่า “ แดด “ เขียนยังไง บอกว่า “ สระแอ ดอเด็ก สะกดด้วยดอเด็ก (แดด) อ่านว่า แดด “ ทีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ให้เอาตัวดอเด็กอยู่กลางแดดออกตัวหนึ่ง และเอา “ ต “ (ต่อเต่า) ใส่เข้าไปแทนสะกดได้ว่า “ สระแอ ตอเต่า ดอเด็ก (แตด) “ พระอาจารย์มั่นฯ พูดต่อว่า ฮาหนี่ แตงเขียวมันบ่ติดดอก มันไป่ติดเอ่า “ แตงแดด “พระภิกษุผินะฯ คิดไปคิดมาใครครวญแล้ว นึกขึ้นได้จึงอุทานออกมาว่า “ ใครอยู่ใครตาย ใครไปใครก็รอด “
ราคาปัจจุบัน
1000
จำนวนผู้เข้าชม
1164 ครั้ง
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
เจนพระเครือง
ชื่อร้าน
บารมีบุญพระเครื่อง
URL
http://www.baramebun.99wat.com
เบอร์โทรศัพท์
0910162844
ID LINE
rit3009
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-93615-9
กำลังโหลดข้อมูล
หน้าแรกลงพระฟรี